สมัยเด็กๆตอนที่ถูกผู้ใหญ่ถามว่า โตขี้นอยากเป็นอะไร จำได้เลยว่าตัวเองไม่เคยมีความฝันเหมือนกับเด็กคนอื่น ซึ่งหนีไม่พ้น หมอ, พยาบาล, ทหาร 

ส่วนของผม อาจคำตอบนี้คงมีจำนวนไม่มากเท่าไร และจำได้แม่นยำใสปิ๊งยิ่งกว่าตาตั๊กแตน

แต่ความฝันของผมคือ...อยากเป็น “ผู้จัดการ” ครับ?‍?

ก็เคยไปฝากเงินกับธนาคารออมสินสมัยก่อนโน้น เห็นใครก็ไม่รู้หลังอยู่หลังเคาเตอร์ นั่งเก้าอี้หนังตัวเบ้อเริ่มอยู่หลังสุด พนักพิงก็สูงกว่าหัวมาหน่อยหนึ่ง คนอื่นๆไม่มีที่รองหัวแบบนี้ซักคน

มองปร๊าดเดียวก็รู้ว่า คนนี้แหละใหญ่สุดในนี้ แล้วความฝันเริ่มก่อตัวตั้งแต่วันนั้น

หลังจากจบมหาวิทยาลัย คนอื่นก็ได้งานไปตามที่ร่ำเรียนมาซะส่วนใหญ่ ส่วนตัวเองที่มีผลการเรียนที่ต่ำเตี้ยติดดิน แต่ดันมีความฝันที่จะครอบครองเก้าอี้หนังตัวใหญ่ตัวนั้นให้ได้ เลยเริ่มต้นจากการเป็นเซลส์แมน ในสินค้าประเภท FMCG กับบริษัทฯยักษ์ใหญ่ด้านอาหารของโลก

เหตุผลส่วนตัวอีกประการหนึ่งก็คือ “รายได้”?? พอรวมโน่นรวมนี่ไป รายได้ตอนนั้น ตกประมาณเดือนละสองหมื่นกว่าๆ ขอบอกเงินจำนวนนี้ เมื่อสามสิบกว่าปีก่อนซื้อทองได้เดือนละสี่บาทเลยนะนั่น

แต่ขอโทษเหอะครับ ไม่เคยได้ซื้อซักบาท เพราะมัวแต่สำมะเลเทเมาทุกคืน เงินเก็บไม่ต้องไปพูดถึง ผลัดผ่อนไปเรื่อยๆว่าจะเก็บเงินเดือนหน้าก็ยังทัน สุดท้ายก็ไม่ทำซะที หมดเงินไปกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง

เห็นรถเพื่อนเซลส์เพิ่งถอยป้ายแดงมาใหม่กริ๊บ รถของเราแม้ยังผ่อนไม่หมด ทำไมมันดูเก่าจังเนี่ย  

ดังนั้นเหตุจูงใจของอาชีพเซลส์แมน จะมองถึงตัวเองเป็นหลัก แม้งานจะหนัก จะโดนบี้ยอดจาก Sales Supervisor ขนาดไหนก็ทนได้ เพราะคำว่า “เงิน” ตัวเดียวแท้ๆ 

ตอนช่วงทำงานประจำ แม้จะย้ายมากี่บริษัทฯ ก็ทำงานด้านการขายและการตลาดมาโดยตลอด จนมาถึงตำแหน่ง MD ในบริษัทฯเล็กๆแห่งหนึ่ง เป็นบริษัทฯร่วมทุนระหว่างคนไทย กับชาวต่างชาติ โดยตัวเองขึ้นตรงกับนายชาวต่างชาติ

ตอนนี้เก้าอี้หนังตัวใหญ่ ความฝันในวัยเด็กถูกเติมเต็มเรียบร้อย

ตอนสัมภาษณ์ก่อนเข้าทำงานก็เห็นว่าเป็นบริษัทฯอินเตอร์ ท่าทางคงจะเข้าท่าเข้าทางดี แต่ที่ไหนได้ครับ พอทำงานไม่กี่เดือนคนไทยกลับทิ้งหุ้นทั้งหมด แยกทางกับชาวต่างชาติ

จนบริษัทฯเหลือเงินติดบัญชีให้ผมแค่ 97 บาท!!!?

บริษัทฯกำลังจะโดนตัดไฟ จนผมต้องควักเงินส่วนตัวเพื่อประคับประคองบริษัทฯ ให้รอดพันวิฤติไปให้ได้ก่อน

ตอนนั้นคิดโดยตลอดว่า ขนาดเจ้าของเขายังทิ้งไปเลย ทำไมตัวเองจะทำไม่ได้บ้างละ บริษัทฯก็ไม่ใช่ของเราซักหน่อย เรื่องหางานคิดว่าไม่น่าจะสาหัสเท่าไร เพราะผ่านการเปลี่ยนงานมาแล้วหลายแห่ง

ตัวเองนะรอดแน่ แต่ลูกน้องอีกยี่สิบกว่าชีวิตนี่ละ เขาจะเป็นยังไง?

สุดท้ายเลยตัดสินใจลุยต่อ อย่างแย่สุดบริษัทฯก็ปิดไป ต่างคนต่างแยกย้าย 

ตอนนั้นผมก็ทำมันทุกตำแหน่ง แต่เวลาเกือบทั้งหมดใช้ไปกับการวิ่งขายของ โดยมีทีมเซลส์ที่เหลืออยู่ซัก 4-5 คน อาศัยความที่เคยทำงานทั้งขายและการตลาดมาแล้ว เรื่องขายของไม่มีปัญหา สบายมาก

โชคดีจริงๆครับเพียงแค่ปีเดียว บริษัทฯก็เร่ิมพลิกฟื้นคืนชีพมาจนได้

ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของบริษัทฯ ความคิดอย่างหนึ่งที่ทำให้มุมมองการเป็นเซลส์ของผมเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง นั่นก็คือ

ผมไม่ได้ทำงานเพื่อเงินเป็นวัตถุประสงค์หลักอีกต่อไปครับ รู้ได้อย่างเดียวว่าถ้าตัวเอง “ไม่” ออกไปขายของ มัวแต่วิ่งหางานใหม่เพื่อให้ตัวเองอยู่รอด ถ้าลงเป็นแบบนี้ เชื่อว่ายังมีอีกหลายคนที่ไม่ใช่พนักงานภายในบริษัทฯต้องเดือดร้อนอย่างเดียว

?น้องฝ่ายบัญขีที่ต้องส่งเงินให้พ่อแม่ที่ต่างจังหวัดเดือนละ 3,000 บาท ถ้าเธอไม่ได้รับเงินเดือน หรือรับน้อยกว่าที่เคยได้ แล้วพ่อแม่ของเธอจะพออยู่พอกินหรือ?

?คุณแม่บ้านทำความสะอาดที่ลูกกำลังเรียนอยู่ชั้นประถม แล้วลูกเธออาจจำเป็นต้องย้ายโรงเรียน เพราะไม่มีเงินค่าขนม ค่าเดินทาง

?น้องคนขับรถส่งสินค้าอาจไม่มีบ้านอยู่ เพราะไม่มีเงินจ่ายค่าเช่า

มาจนถึงปัจจุบันที่ผมออกมาทำงานอิสระเป็นที่ปรึกษาด้านการตลาดและการขาย เมื่อไรที่มีโอกาสบรรยายให้กับทีมขายได้ฟัง ก็ชอบที่จะแบ่งปันกรอบความคิดนี้ให้ฟังเป็นการเริ่มต้นหลักสูตรทุกครั้ง

มีเซลส์บางคนเห็นชอบเข้าวัดเข้าวาทำบุญกันมาก ผมก็เห็นดีเห็นงามด้วยอันนี้ไม่ขัดศรัทธาอยู่แล้ว 

แต่เน้นย้ำว่ายังไงก็ขอให้ขายเยอะๆ อย่าขี้เกียจ หรือขายให้ได้ตามเป้าหมาย ถ้าทำแบบนี้ได้ก็ถือว่าเป็นการทำบุญได้อีกทางหนึ่งเหมือนกัน

เพราะเงินที่เซลส์ท่านนั้นขายได้ อาจจะได้ช่วยบรรดาลูกๆของน้องๆพนักงานในไลน์ผลิต ได้ตุ๊กตาตัวใหม่ซักที หลังจากกอดน้องหมีตัวเก่าจนหูขาด พุงแตก จนนุ่นที่ยัดอยู่ข้างในไหลทะลักออกแทบจะหมดตัวแล้ว ?

หรือพ่อแม่ของน้องฝ่ายบัญชีได้หลังคาบ้านใหม่ หลังจากโดนน้ำฝนรั่วจนที่นอนเปียกปอน⛈

ดังนั้นอยากจะตั้งคำถามตัวโตให้กับทีมงานฝ่ายขายทุกคนว่า...

✅ตอนนี้ท่านทำหน้าที่ขายของเพื่ออะไร

ส่วนคำตอบตัวเองคงอยู่ในเนื้อความทั้งหมดใน EP นี้แล้วครับ

บทความทั้งหมดนี้ไม่มีลิขสิทธิ์เผยแพร่ได้ตามสะดวก

???

-บุ้ง ดีดติ่งหู-

Marketing&Sales Consultant 

The Underdog Marketing

Line id: wichawut_boong

Email: [email protected]

จุดประกายไอเดียทางการตลาดและการขาย

สมัครรับข่าวสาร

© สงวนลิขสิทธิ์ 2018-2024 Underdog Marketing
นโยบายความเป็นส่วนตัว
crossmenu

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า